วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"จตุพร"ชี้แดงทยอยตาย3ศพแล้วท้า "สุเทพ"สาบานวัดพระแก้ว ขู่เจอปชช.รอบ3สถานการณ์เลวร้ายมาถึงเร็วแน่

"จตุพร"ชี้แดงทยอยตาย3ศพแล้วท้า "สุเทพ"สาบานวัดพระแก้ว ขู่เจอปชช.รอบ3สถานการณ์เลวร้ายมาถึงเร็วแน่

นายจตุ พร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงกรณีการตายของนายศักดิ์นรินทร์ กองแก้ว หรือ "อ้วน บัวใหญ่" แกนนำนปช. จ.นครราชสีมา ว่า นอกจากมีนายอ้วนแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีคนตายอีก 1 คนที่จ.นครพนม และล่าสุดอีก 1 ศพที่เป็นศพที่ 3 ที่พัทยา ซึ่งเป็นการ์ดนปช. แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการไล่ล่าประชาชนทั้งที่ได้ยุติการชุมนุมและเขา กลับบ้านก็ยังไปไล่ล่าเขาถึงที่บ้าน ถ้ารัฐบาลไม่ทำแล้ว แมวที่ไหนจะทำ

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขอท้านายสุเทพสาบานต่อ หน้าวัดพระแก้วว่ากล้าหรือไม่ เพราะทราบมาว่าอาวุธที่ยึดได้ที่ราชประสงค์มีแค่ปืนสั้น 2 กระบอกเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคพวกที่ร่วมประชุมในศอฉ.ได้บอกกับตนว่า เขารู้สึกอับอายรวมทั้งกรณีที่มีการนำอาวุธมาจัดฉากอย่างมากมาย ที่ผ่านมามีคนตายกว่า 80 คน การที่รัฐบาลระบุว่า คนที่ตายเป็นมืออาชีพ ที่สามารถนำอาวุธไปทิ้งได้ ขอถามว่าคนที่ตายไปแล้วจะนำอาวุธไปทิ้งได้อย่างไร ถือเป็นการใส่ร้ายแบบปัญญาอ่อน ทั้งนี้ในวันที่ 13 มิ.ย.เวลา 15.00 น.ตนพร้อมด้วยพ.อ.อภิวันท์วิริยะชัย รองประธานสภา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปรวมงานเผาศพนายอ้วน ที่ จ.นครราชสีมา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กัน

"สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชนมากมายเท่านี้ หากไม่หยุดไล่ล่าล่าฆ่าประชาชน สถานการณ์ที่เลวร้ายก็จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะประชาชนที่ถูกตามไล่ฆ่า รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจ มีความคับแค้น หากมีการโดนจับโดนตามฆ่า ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเช่นนี้จะเจอประชาชนรอบที่สาม การที่ไปยัดเยียดความตายให้กับเขาแม้ว่าเขาจะกลับบ้านไปแล้วกลุ่มคนเสื้อแดง ก็จะกล้าสุดถึงกล้าที่สุด เพราะขนาดหมาจนตรอกก็ยังสู้"

ผู้สื่อ ข่าวถามว่า สาเหตุการตายของแกนนำนปช. ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะมีการต่อสู้กันใต้ดินระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงใช่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของคนเสื้อแดงยืนยันว่า เราไม่มีแผนที่จะเดินเกมใต้ดินเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล แต่เราจะต่อสู้บนดิน เพราะขณะนี้อำนาจเถื่อนอยู่บนดินชัดเจน รัฐบาลมีพฤติกรรมแบบศาลเตี้ย ฝ่ายตนมีหน้าที่ตาย ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่ฆ่าประชาชน

มือปืนบุกยิงแกนนำเสื้อแดงที่นครพนม

มือ ปืนอุกอาจ บุกยิงแกนนำคนเสื้อแดงศรีสงคราม จ.นครพนม หลอกถามบ้านผู้ใหญ่ ก่อนลั่นไกคาบ้านพักกลางดึก อาการสาหัสตำรวจมุ่งขัดแย้งการเมือง

เหตุยิงแกนนำคนเสื้อแดงครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 30 พ.ค.53 ร.ต.ท.เพ็ชร กิจพฤกษ์ ร้อยเวร สภ.ศรีสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม รุดตรวจสอบ หลังรับแจ้งว่า มีผู้ถูกยิงมารักษาตัวที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอำเภอศรีสงคราม จึงเดินทางไปตรวจสอบภายในห้องฉุกเฉิน พบแพทย์พยาบาลกำลังให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยผู้บาดเจ็บถูกยิงคือ นายศุภฤกษ์ ทากิระ อายุ 40 ปี อดีตผู้สมัคร สจ.นครพนม แกนนำคนสำคัญของ กลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช.เขตอำเภอศรีสงคราม บ้านเลขที่ 91 หมู่ 2 บ้านคำสว่าง ต.นาคำ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ได้รับบาดเจ็บถูกยิงบริเวณท้ายทอย ทะลุแก้มขวา อาการสาหัส โดยเหตุเกิดบริเวณหน้าบ้านพักเลขที่ 197 หมู่ 3 บ.ภูกระแต ต.นาคำ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

ต่อมาเนื่องจากผู้บาดเจ็บมีอาการสาหัสมากเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งต่อไป รักษาที่โรงพยาบาลนครพนม เบื้องต้นผู้บาดเจ็บยังไม่สามารถให้การได้ ซึ่งระหว่างผู้บาดเจ็บนำตัวส่งมาถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลนครพนม โดยมี นางมนพร เจริญศรี อดีตนายก อบจ.นครพนม และ นายถิรวัฒน์ จำปาไชยศรี ประธานสภา อบจ.นครพนม กลุ่มการเมืองท้องถิ่นแกนนำคนเสื้อแดงนครพนม เดินทางมาดูอาการอย่างใกล้ชิด

ร.ต.ท.เพ็ชร กิจพฤกษ์ กล่าวว่า จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุ ขณะ นายศุภฤกษ์ ทากิระ อายุ 40 ปี อดีตผู้สมัคร สจ.นครพนม กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่หน้าบ้าน ได้มีคนร้ายจำนวน 2 คน ขับรถยนต์แค็ป เซฟโรเลต สีบรอนทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาจอดแล้วคนขับได้เปิดประตูลงมาสอบถามเส้นทางไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน จนกระทั่ง นายศุภฤกษ์ ทากิระ ได้เดินออกมาแนะนำเส้นทาง ก่อนคนร้ายชักปืนออกมายิง จำนวน 1 นัด ก่อนขับรถยนต์หลบหนี จากนั้นเพื่อน และญาติจึงนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอำเภอศรีสงคราม และแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ ส่วนประเด็นสำคัญตำรวจมุ่งเป้าเรื่องขัดแย้งทางการเมือง

"เนื่องจากผู้บาดเจ็บเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่ม นปช.นครพนมเขตอำเภอศรีสงคราม เคยเป็นอดีตผู้สมัคร สมาชิกองค์การบริหารส่วน จ.นครพนม ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้นำกลุ่ม นปช. ขับไล่ นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระหว่างไปร่วมงานรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ของ อบต.ไผ่ล้อม อ.บ้านแพง จนกระทั่งเกิดเหตุ นายปุ่น สาสอน อายุ 40 ปี กลุ่มคนเสื้อแดงชาวอำเภอศรีสงครามบุก เข้าทำร้ายชกต่อย นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปดำเนินคดี"

นอกจากนั้นคนบาดเจ็บยังเป็นแกนนำในการร้องเรียน นายสมชอบ นิติพจน์ นายก อบจ.นครพนม พร้อม นายทันใจ ณ รังสี ส.อจ.นครพนม เขต อ.ศรีสงคราม คนสนิท นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ จนถูกใบแดง แต่มีการสู้คดี จนศาลฎีกาทางการเมืองยกฟ้อง เพิกถอนใบแดง เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา ก่อนนางมนพร เจริญศรี รองนายก อบจ.จะถูกปลดกลางอากาศ ล่าสุดนายสมชอบ นิติพจน์ ได้ยื่นฟ้องทางแพ่งและอาญา อย่างไรก็ตามตำรวจจะได้สอบสวนพยานผู้พบเห็นเหตุการณ์โดยละเอียดหาสาเหตุ ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ยิงดับแกนนำเสื้อแดงโคราช

Pic_88639

คนร้าย รัวกระสุน ดับแกนนำคนเสื้อแดงโคราช ตร.ตั้งปมสังหาร 3 ปม เรื่องส่วนตัว , ชู้สาว และการเมือง เร่งเค้นสอบพยาน 5-6 ปากหาตัวคนร้าย...

เด็ดหัว แกนนำ เสื้อแดงโคราช “ เฒ่า หรืออ้วน..บัวใหญ่ คนร้ายมืออาชีพห้อปิคอัพเปิดกระจกจ่อยิงใบ้หน้าและลำตัว 5 นัด ตำรวจเผยปมประเด็น 3 แนวทางปมสังหารขัดแย้งส่วนตัว - ชู้สาว - การเมือง ด้าน รอง ผบก.โคราช เต้นรุดลงพื้นที่พร้อมชุดสืบสวนสอบสวนภูธรจังหวัดควบคุมคดี เชื่อคาดคนร้ายมีไม่น้อยกว่า 2 คน

พ.ต.ท. พงษ์ศักดิ์ บุญดำเนินพาณิชย์ ร้อยเวร สภ.บัวใหญ่ ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันตายเกิดขึ้น ที่บริเวณ 4 แยกชุมชนบ้านบัวใหญ่ ถนนเทศบาล 7 เขตเทศบาลเมืองบัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา จึงนำกำลังรุดตรวจสอบ ในที่เกิดเหตุพบ นายศักดิ์นรินทร์ กองแก้ว หรือที่ชาวบ้านเรียกจนติดปากว่า “ อ้วนบัวใหญ่ ” มีบทบาทสำคัญเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีอาชีพรับจ้างทั่วไป อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5 ถ.บัวใหญ่ 3 ต.บัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เขตเทศบาลตำบลบัวใหญ่

ถูกยิง ด้วย อาวุธปืนขนาด.11 ม.ม. เข้าที่บริเวณใบหน้า 2 นัด , บริเวณลำตัว 3 นัด รวม 5 นัด อาการสาหัสเป็นตายเท่ากันและยังพบปลอกกระสุนปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุอีกจำนวน 1 ปลอก เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลบัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ฯ แต่นายศักรินทร์ฯ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า นายศักดิ์นรินทร์ฯได้ไปร่วมพิธีเข้าทรงเจ้าแม่ตะเคียนทอง ที่บึงบัวใหญ่ เขตเทศบาลเมืองบัวใหญ่ หลังเสร็จพิธีได้ขับรถจักรยานยนต์ เพื่อกลับบ้านโดยมี นายวีระยุทธ์ ดีสวน อายุ 17 ปี อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยรุ่นน้องนั่งซ้อนท้ายมาด้วย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ได้มีรถยนต์กระบะสีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนขับเข้ามาตะโกนสอบถามเส้นทางที่จะไป อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ทำให้ นายศักดิ์นรินทร์ฯ ต้องขับรถ จยย.วนรถกลับมาหาเพื่อบอกทาง เมื่อเปิดกระจกลงมาทันทีคนร้ายที่นั่งคู่คนขับได้ชักปืนออกมาจ่อยิงที่เข้า ที่บริเวณใบหน้าและลำตัวจำนวนถึง 5 นัดซ้อนทำให้ นายศักดิ์นรินทร์ฯหงายหลังทรุดและล้มลงทันที เลือดไหลนองพื้นนอนหายใจรวยรินทั้งมือ และขาทั้งสองข้างสั่นชักกระตุก

ส่วนนาย วีระยุทธ์ฯที่นั่งซ้อนท้ายมาด้วยได้หมอบหลบลูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ เล็กน้อย จากนั้นคนร้ายได้อาศัยช่วงกลางคืนขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลอำเภอบัวใหญ่ฯ และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดพลาดไม่ไหวเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานนายศักดิ์นรินทร์ฯทราบว่ามีรถยนต์ กระบะสีดำ ขับติดตามทนายศักดิ์นรินทร์ฯ มากว่า 3 วันแล้ว และได้เตือนให้นายศักดิ์นรินทร์ฯ ระวังตัว แต่นายศักดิ์นรินทร์ฯไม่เชื่อคำเตือน สุดท้ายก็มาถูกยิงดังกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสอบสวนไว้ทั้งเรื่องความขัดแย้งส่วน ตัว, เรื่องชู้สาว และประเด็นทางการเมือง เพราะโดยส่วนตัวนายศักดิ์นรินทร์ฯ เป็นคนชอบช่วยเหลือคน มีเพื่อนฝูงมาก และเป็นที่รักใคร่ของคนในพื้นที่ แต่ว่าจะเป็นคนโผงผาง พูดจาเสียงดัง และอารมณ์ร้อน และหงุดหงิดง่าย

ล่าสุด เมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ (10 มิ.ย.)พ.ต.อ.วิชรวิชญ์ กฤษ์ฤทธิศักย์ รอง ผบก.ภ.นครราชสีมา หัวหน้าชุดสอบสวนสืบสวน เปิดเผยว่า ทางพล.ต.ต.อำนาจ อันอาตม์งาม รอง ผบช.ภ.3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพร้อมกับตน และชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดฯ ร่วมกับชุดสืบสวน ตร.สภ.บัวใหญ่ฯ เพื่อติดตามการสอบสวนคดี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ และพยานแวดล้อมไปแล้ว 5 - 6 ปาก แต่เนื่องจากช่วงเกิดเหตุมืดมาก จึงไม่มีใครให้รายละเอียดคนร้ายได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ชุดสอบสวนจะทำการสอบปากคำเพิ่มเติมอีก เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายมีอย่างน้อย 2 คนคือ คนขับ 1 คน คนยิง 1 คน และการยิงโดยไม่ได้ลงจากรถมายิงแต่อย่างใด และดูแล้วลักษณะของมือปืนการเตรียมการณ์อย่างนี้ และบวกกับความแม่นยำและมีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธเป็นอย่างดีก็น่าจะเป็น มืออาชีพ ส่วนประเด็นการสอบสวนนั้น ยังมุ่งไปที่ 3 ประเด็นหลักไม่ได้ตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งทิ้ง โดยประเด็นแรกเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัว เพราะเมื่อวันที่ 30 พ.ค.53ที่ผ่านมาผู้ตายไปมีเรื่องชกต่อยกับวัยรุ่นในพื้นที่ ประการที่สองเรื่องชู้สาว และประเด็นที่สามความเคลื่อนไหวทางการเมือง ในช่วง นปช. เป็นแกนนำมีบทบาทพอสมควรในกลุ่มคนเสื้อแดงในเขต อ.บัวใหญ่ฯ

ทั้งนี้ ผู้ตายเองก็เป็นผู้เสียสละกับสาธารณะเป็นที่อาสาสมัครตำรวจบ้าน , อปพร. เจ้าหน้าที่กู้ภัย อย่างไรก็ตามประเด็นต่างๆทั้ง 3 ประเด็นตำรวจให้หนักน้ำใกล้เคียงกันหมดทั้งสามประเด็น แต่ว่าเราต้องดูตามพยานหลักฐานที่จะต้องสอบและสืบจากพยานหลักฐานขึ้นไป โดยจะไม่สืบจากประเด็น ไม่สามารถตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งออกไปได้ คาดว่าจะทราบเบาะแสคนร้ายในเร็ว ๆ นี้ เพราะคดีนี้มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะคนร้ายลงมือก่อเหตุด้วย ซึ่งเราต้องใช้เวลาสอบสวน เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พ.ต.อ.พ.ต.อ.วิชรวิชญ์ฯ กล่าว

ฆ่าเหี้ยมเสือเก่าชื่อดังแกนนำเสื้อแดง

วันนี้( 11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15 .00 น.พ.ต.ท.ธงชัย สุขเจริญ รอง ผกก.ป.สภ.บ่อทอง จ.ชลบุรี รับแจ้งว่าพบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าแค็ป รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน วน – 2730 ฉะเชิงเทรา สภาพใหม่ กระจกหน้ารถติดสติ๊กเกอร์ คำว่า “น้องปราย”จอดอยู่ในสวนยางพารา บริเวณป่าบ้านคลองยาง หมู่ที่ 8 ต.บ่อทอง โดยประตูทั้งสองข้างถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนา ที่กระบะท้ายพบถังบรรจุน้ำมันสีฟ้าขนาด 20 ลิตร จำนวน 2 ถัง ต้นกล้วย 2 ต้น และกระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบ จึงได้ยึดไว้ตรวจสอบ พร้อมระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยสว่างเหตุธรรมสถาน ให้ช่วยกันตรวจสอบ เนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่ารกและมีช้างป่าออกมาหากินอยู่เป็น ประจำ เกรงว่าอาจจะได้รับอันตราย

ที่เกิดเหตุพบศพเป็นชาย นอนคว่ำหน้า นุ่งกางเกงยีนส์ขายาว ใส่เสื้อลายพรางทหาร ถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกร่มสีกรมท่า สภาพศพขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ที่บริเวณลำคอ มีผ้าขาวม้ามัดอยู่อย่างแน่นหนา ตรวจค้นในกระเป๋าเสื้อพบเงินสด จำนวน 1,410 บาท จาการตรวจสอบ ทราบว่าเจ้าของรถคือนายอุมพร ดวงมณี อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ม.7 ต.กระจัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จึงได้ประสานไปยังนายอุมพร ก็ได้รับการยืนยันว่า เป็นรถยนต์ของตน และยืนยันว่าผู้ตายคือนายสวาท ดวงมณี อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นบิดาของตนเอง

โดยก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น บิดาได้ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านนายธนฤทธิ์ ใจหาญ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/52 ม.7 ต.อ่างคีรี อ.มะขาม จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นพี่ชายของตน โดยบิดาได้ออกจากบ้านที่ อ.มะขาม เมื่อตอนสายๆ ของวันที่ 6 มิ.ย.53 และบอกกับพี่ชายว่าจะไปหาเพื่อนที่ อ.เขาชะเมา ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับ อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี และก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาตั้งแต่วันนั้น แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าพ่อทำไม่ไม่กลับมา ซึ่งก็ได้โทรศัพท์ไปหา แต่ว่าติดต่อไม่ได้ จนกระทั่งมาพบศพดังกล่าว

พ.ต.ท.ธงชัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติทราบว่านายสวาท ดวงมณี อดีตนั้นเคยเป็นเสือชื่อดัง รุ่นเดียวกับ เสือเหิร เสือสด เสือสน ฯลฯ ร่วมก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่ง เสือสวาท ได้ก่อเหตุมาอย่างโชกโชนมากมายหลายคดี จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุมและถูกคุมขังมาเป็นสิบปี และพ้นโทษมาเมื่อปี 41 ก่อนที่จะย้ายไปปักหลักมีครอบครัวใหม่อยู่ที่ ต.ตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ แต่ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมลูกหลานอยู่เป็นประจำ

ส่วนสาเหตุการตายนั้นคาดว่าน่าจะมาจาก 3 ประเด็น คือ เรื่องชู้สาว ขัดผลประโยชน์ หรือไม่ก็เป็นแกนนำเสื้อแดง เนื่องจากผู้ตายเป็นคนเจ้าชู้มีเมียหลายคน และอีกเรื่องน่าจะเป็นเพราะผู้ตายมีที่ดินเป็นหมื่นไร่ เนื่องจากสมัยก่อนผู้ตายได้เป็นผู้บุกเบิกหักร้างถางพงผืนป่าขนาดใหญ่กับ พรรคพวกอีกหลายคน จึงทำให้มีหุ้นส่วนในที่ดินอย่างมากมายหลายแปลง ก่อนที่จะถูกจับติดคุกและพ้นโทษออกมา จึงมาทวงกรรมสิทธิ์กับเพื่อนๆที่ยังมีชีวิตอยู่และได้ครอบครองที่ดิน จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ถูกลวงมาฆ่าทิ้ง และต้องเป็นคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากรู้ดีว่า เสือสวาท เป็นคนหนังเหนียว จึงใช้ผ้าขาวม้ารัดคอจนขาดใจตายดังกล่าว

บุญจง เดินสายปรองดอง แจกหนังสือเขย่าแม้ว

บุญจง เดินสายปรองดอง แจกหนังสือเขย่าแม้ว

รมช.มหาดไทย เดินสายปกป้องสถานบันและเดินหน้าสร้างความปรองดองที่โคราช แจกสมุดมีรูปภาพ "ทักษิณ" เขียนว่า "แดงทักษิณ เจ๊งทั้งแผ่นดิน" ยันไม่มีนโยบายไล่ล่าแกนนำ นปช.หรือคนเสื้อแดง...

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ศูนย์โอท็อปจำหน่ายของดี ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติฯ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีปกป้องสถาบัน ตามโครงการของกระทรวงมหาดไทย ที่ อ.เฉลิมพะระเกียรติ จ.นครราชสีมา โดยมีนายวิทยา กามนต์ รอง ผวจ.นครราชสีมา , สมศักดิ์ เหมทานนท์ปริสุทโธ รอง ผวจ.นครราชสีมา , พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.นครราชสีมา พร้อมด้วยผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มพลังมวลชนสวมเสื้อสีน้ำเงิน โดยมีการเดินรณรงค์ปกป้องสถานบันจากสำนักงานเทศบาลตำบลท่าช้าง และที่ว่าการ อ.เฉลิมพระเกียรติฯ ไปตามถนนเพชรมาตุคลาไปยังศูนย์โอท็อป ระยะทาง 3 กม. โดยมีการแจกจ่ายหนังสือ และแผ่นซีดี เกี่ยวกับการปกป้องสถานบัน และความปรองดองของคนในชาติให้กับพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมพิธีกว่า 200 คน โดยหน้าปกหนังสือเขียนตัวหนังสือตัวโตสีแดงว่า "แดงทักษิณ เจ๊งทั้งแผ่นดิน"

ด้านบนเป็นรูปหมวกสีเขียวดาวสีแดง โดยมีรูปภาพหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สวมเสื้อยืดสีแดง สวมแจ๊คเก็ตสีแดง โดดเด่นอยู่กลางหน้าปกหนังสือ ลายล้อมด้วยแกนนำ นปช.คนสำคัญ โดยเฉพาะ 3 เกลออยู่ด้านซ้าย ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงษ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส่วนด้านขวามีนายจักรภพ เพ็ญแข , นายสุรชัย แซ่ด่าน , นายจอน อึ๊งภากรณ์ โดยทั้งหมดสวมเสื้อสีแดงหมวกสีเขียว ส่วนด้านหลังปกหนังสือมีรูปภาพ ครอบครัวอดีตนายกฯทักษิณหลบอยู่ต่างประเทศขณะกำลังร่วมรับประทานอาหาร เขียนข้อความว่า นี่คือ...ความทุกข์ของทักษิณที่ต้องอยู่ต่างประเทศ ส่วนภาพด้านล่างเป็นภาพ การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ขณะกำลังเคลื่อนขบวนพร้อมถืออาวุธนานาชนิด โดยเขียนข้อความว่า นี่คือ...ความสุขที่ได้ต่อสู้เพื่อทักษิณ พร้อมมีการพิมพ์เว็ปไซค์กำกับไว้ชัดเจน www.silence-power.comเป็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก

Pic_89042

นายบุญจง กล่าวว่า การทำพิธีปกป้องสถาบันเป็นโครงการหนึ่งของกระทรวงฯที่เรามีแนวทางในการสร้าง ความสมานฉันท์และปกป้องสถาบัน วันนี้แนวทางหนึ่งคือการให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะมีการดำเนินโครงการอาสาสมัครปกป้องสถาบันทั่วประเทศไทย ซึ่งก็คือคนในพื้นที่ดำเนินการ โดยอำเภอหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 พันคนที่จะมาร่วมกันทำกิจกรรมในพื้นที่ และการช่วยกันสอดส่องดูแลถึงความขัดแย้งในพื้นที่ ส่วนแผนปรองดองที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ประกาศออกมาทางพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยจะ เดินหน้าไปได้อย่างไรนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า เมื่อมีการประกาศแผนปรองดองก็คือสิ่งที่ชี้ให้ชัดเจนว่า รัฐบาลเห็นถึงความแตกแยกของประเทศ ถ้าปล่อยไว้ปัญหาก็จะมีผลกระทบต่อภาพรวม ฉะนั้นการที่นายกฯประกาศแผนปรองดองก็คือ ความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศมีความรัก ความสามัคคี ส่วนคนกลุ่มใดหรือพรรคการเมืองใดที่มีความเห็นแตกต่างก็เป็นสิทธิ แต่คงอยากจะเรียกร้องว่า ให้มาหันหน้าคิดร่วมกันเถิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความปรองดอง ส่วนประเด็นปลีกย่อยถ้าจะเห็นต่างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้เสนอแนะและมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้การคิด การทำ การปรองดองของคนในชาติประสบความสำเร็จ

ส่วนที่ทางพรรคเพื่อ ไทยมีการโจมตีเรื่องการไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงถึงชีวิตจะทำให้การปรองดองเป็น ไปได้ยากมากขึ้นนั้น รมช.มหาดไทยกล่าวว่า ตนต้องเรียนว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายในการไล่ล่าแกนนำ นปช. หรือแกนนำคนเสื้อแดง ตนยืนยันได้เลย วันนี้โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย รมว.มหาดไทย ได้สั่งการและกำชับผู้ว่าฯทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ และพื้นที่ที่จังหวัดใดมีพี่น้องมาร่วมชุมนุมกันจำนวนมาก ผู้ว่าฯจะมีการตรวจสอบว่าอยู่ในหมู่บ้านใด ตำบลใด อำเภออะไร ชื่ออะไร มีอาชีพอะไร และจะมีการจัดตั้งทีมทั้งหมดเข้าไปเยียวยาไปดูแลพี่น้องประชาชนเหล่านี้ว่า เขามีความเดือดร้อน มีปัญหาอะไรต้องการให้รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐช่วยเหลือเรื่องอะไร ฉะนั้นจะไม่มีการไปไล่ล่า หรือไปกดดันให้เห็นว่า คนเหล่านี้คิดต่างกับรัฐบาล ไม่มี ขอยืนยันอีกครั้ง รัฐบาล นายกฯไม่เคยคิด ไม่เคยทำเรื่องนี้ แต่เหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีการเสียชีวิตของของคนบางคนก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นคดี ความที่ปรกติที่เกิดขึ้น มันก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสืบสวนสอบสวนว่า คนที่เสียชีวิตนั้นเขามีมูลเหตุมาจากอะไร ขัดแย้งเรื่องอะไร อย่าไปโยงว่าเป็นเครื่องไล่ล่า ฉะนั้นถ้าประเด็นนี้ถ้าพูดในสังคมมันจะทำให้การปรองดองนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และตนยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีแนวทางนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นต้องให้ตำรวจสรุปออกมาให้ชัดเจนก่อน เพราะเวลามันมีการเกิดการฆ่ากันหรือการทำร้ายกันในพื้นที่คนที่เสียชีวิต หรือบาดเจ็บอาจจะเป็นผู้ร่วมชุมนุมหรือแกนนำมันก็เป็นหน้าที่ของทางตำรวจ ต้องสืบสวนสอบสวนว่า สาเหตุเกิดจากอะไร ตนมั่นใจว่า ตำรวจมีข้อมูลที่จะต้องทำงานเรื่องนี้ต่อ อย่าเพิ่งไปป่าวประกาศว่า เป็นการไล่ล่า ตนยืนยันว่าไม่มี วันนี้การสร้างความปรองดองก็มีแต่การหันหน้ามาคุยกัน และอะไรที่รัฐบาลคิดยังเห็นว่าไม่น่าจะเดินได้ก็มาบอกกล่าวกันและก็มีการ ปรับปรุงแก้ไขต่อไป

" วันนี้ผมไม่อยากมองว่า ฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ค้านลูกเดียว แต่ความจริงปฏิเสธไม่ได้ ส.ส.ฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ในการค้าน ในการตรวจสอบการทำงานรัฐบาล แต่วันนี้ วินาทีนี้ บ้านเมืองบอบช้ำแล้ว ควรที่จะมาคิดร่วมกันว่าเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างไร เราจะทำให้ประชาชนที่ชอบฝ่ายค้านหรือชอบรัฐบาลหันมาเดินด้วยกันว่า นี่คือประเทศไทย และช่วยกันทำให้ประเทศเรามีความเป็นอยู่ที่เราเคยมีอยู่ในอดีต" รมช.มหาดไทย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การฟื้น คตน. คณะกรรมการสอบสวนการฆ่าตัดตอน มองอย่างไร นายบุญจงฯตอบว่า ตนทราบจากข่าว ซึ่งถ้ามีการรื้อฟื้นเกิดขึ้นจริงตนต้องเรียนว่า ทั้งหมดต้องเป็นไปตามกฎหมาบ้านเมืองที่ใช้ขณะนี้ว่าจะรื้อฟื้นได้ขนาดไหน คณะกรรมการคือใคร ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้กติกา ภายใต้กฎหมาย ส่วนประเด็นนี้จะเป็นการเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนั้น นายบุญจงฯกล่าวว่า เรื่องนี้ตนยังตอบไม่ได้ ตนไม่ทราบว่าผลการตั้งกรรมการเป็นอย่างไร ตรวจสอบแล้วมีผลอย่างไร แต่ตนยืนยันได้ว่า การจะทำอะไรทั้งหมดต้องอยู่ภายในกติกา ในกฎหมาย ส่วนจะมองว่าจะไปกลั่นแกล้งใครอย่างไรนั้น ตนคิดว่าคงต้องรอดูผลก่อน ส่วนเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกมากที่มาจากพรรคเพื่อแผ่น ดินกลุ่มนายไชยยศฯ นั้น นายบุญจงฯกล่าวว่า ในส่วนนั้นพรรคภูมิใจทืยเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล การที่เราจะมีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเป็นสิทธิของผู้ที่สนใจจะทำงานการเมือง ร่วมกับพรรค ฉะนั้นวันนี้ในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินส่วนหนึ่งก็สนใจจะทำงานกับพรรคเราก็ ไม่ได้ปิดกั้น เราพร้อมจะทำงานร่วมกัน ส่วนจำนวนจะเป็นกี่คน มีจำพนวนเสียเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็ต้องรอดูอีกครั้งก่อน ตนยืนยันว่า จำนวนเสียงคงไม่ปิ่มน้ำ เพราะต่างคนต่างรู้เหน้าที่ ใครอยู่ซีกฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ตรวจสอบ ใครอยู่ทางรัฐบาลก็มีหน้าที่ทำงาน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดของแต่ละฝ่าย.

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Interview with Thailand's special envoy-LAURA ROZEN

Interview with Thailand's special envoy


Thailand's Prime Minister Abhisit Vejjajiva has sent a special envoy to Washington to discuss the country’s return to ‘normalcy’ in the aftermath of a military crackdown on anti-government protests in May that left over 80 dead and several hundred more injured. Special Envoy Kiat Sittheeamorn sat down with POLITICO's Zeeshan Aleem to discuss the Thai government's response to the "red shirt" protests:

         POLITICO: What is the purpose of your visit here?
        Sittheeamorn: Things are more or less back to normal. We tried to monitor the views of various countries, and what we have observed is that some of the international media’s reporting in the past few weeks has been a little bit incomplete, in many cases inaccurate.
POLITICO: ... Are you seeking support from the US government, and what are you asking for?

Sittheeamorn: ...My purpose is to ensure that people in the States have all the facts right on what’s happened in Thailand. In recent weeks, Sen. Jim Webb has issued resolutions with regard to incidents in Thailand, and all the statements have been very supportive. In particular, the statement is very supportive of the 5 point reconciliation plan proposed by the prime minister to ensure that all the conflict that’s happened can come to a good conclusion.

POLITICO: Can you expand on what sort of facts need to be straightened out?
Sittheeamorn: What we were dealing with was not an ordinary demonstration. It started off as a group of people requesting for the government to address their concerns, such as the income gap and the poverty situation , which the government is always ready to hear. Along the way what we have discovered is that there are armed elements embedded along with the demonstrators …The military force and police force moved in to cordon the area, basically secure the perimeter, ensuring that no movement would be scattered around the city of Bangkok and other provinces. Once we started doing that without even moving in, the armed elements actually retaliated and started using firearms and M-79s and using guns with real bullets to fight against the barricades of the military and the police.

POLITICO: When do you plan to have new elections?
Sittheeamorn: Having another election is not an issue at all. Our [current prime minister’s] term will end in November of 2011. During the process of dealing with this situation we tried very hard to negotiate with the leaders of the demonstrators we even had the negotiations televised, which you probably would not see many governments of the world do. We had an open channel of communication with the leaders, during this time. At one point they publicly confirmed that they agreed with an earlier election date … on the 14th of November this year , provided that everyone agrees on the rules we don’t want any political parties to say after the election, ‘Oh I disagree with the constitution,’ and secondly we want to ensure that all political parties should be able to campaign freely without intimidation … We negotiated openly, at point they agreed, and after an agreement in principle, they backed out, and that has been the problem

POLITICO: Who would win an open election called today?
Sittheeamorn: God knows. It’s very difficult to forecast something like that. In major cities like Bangkok, it depends very much on the sentiment a couple of weeks before the election. In recent polls the popularity rating of the government is still more than 50% -- that’s the best thing I can tell you.

POLITICO: What steps is the Thai government taking to address issues that brought tens of thousands of people into the streets and made them willing to die for their cause?
Sittheeamorn: What we have proposed is the five point reconciliation plan: The role of monarchy, the income gap, constitutional amendments, the role of, and finally an open investigation of things that have happened throughout the incidents [of May] by a third party -- by a respected committee which will be investigating all sides. Once all 5 points are implemented, that will help reduce conflict.

POLITICO: Do you find that a very powerful military and the culture that accompanies it can be at odds with a robust democracy? Pakistan comes to mind.
Sittheeamorn: I would say that’s not the case in Thailand. In the old days, we have seen a number of coup d’états, and they are for different reasons. But the last coup, the military did not want power; they wanted to avoid a crash among people. The military and police force work very closely with the government in order to deal with situations. The military clearly understands that staging a coup is very easy, but running a country after that is really difficult. That’s why we don’t see the military trying to play any political role throughout this political challenge that we have had.

--By Zeeshan Aleem

Thais killed during red-shirt protests in Bangkok – March 15 to May 23, 2010



Thais killed during red-shirt protests in Bangkok– March 15 to May 23, 2010

รายชื่อ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ การชุมนุมคนเสื้อแดง– ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553

This killed during red-shirt protests in Bangkok between March 15 and May 23, 2010: รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553
Thais killed during red-shirt protests in Bangkok between March 15
  and May 23, 2010
Thais killed during red-shirt protests in Bangkok between March 15 and May 23, 2010 : รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553

Thais killed during red-shirt protests in Bangkok between March 15
  and May 23, 2010 :  
รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง  
ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553

Thais killed during red-shirt protests in Bangkok– March 15 and May 23, 2010

รายชื่อ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ การชุมนุมคนเสื้อแดง– ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553

Thais injured and killed during red-shirt protests in Bangkok between March 15 and May 23, 2010 : รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553
Thais injured and killed during redshirt protests in Bangkok  
between March 15 and May 23, 2010 :  
รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง  
ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 23 พฤษภาคม 2553

Thais dead or injured hospitalized in Bangkok– May 17 to 23

รายชื่อ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ การชุมนุมคนเสื้อแดงในแต่ละโรงพยาบาล – ระหว่างวันที่ 17 ถึง 23 พฤษภาคม 2553

Thais dead or injured hospitalized in Bangkok between May 17 to 23 : รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงในแต่ละโรง พยาบาล ระหว่างวันที่ 17 ถึง 23 พฤษภาคม 2553
Thais dead or injured hospitalized in Bangkok between May 17 to 23
  :  
รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงในแต่ละโรง 
พยาบาล ระหว่างวันที่ 17 ถึง 23 พฤษภาคม 2553
Thais dead or injured hospitalized in Bangkok between May 17 to 23 : รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงในแต่ละโรง พยาบาล ระหว่างวันที่ 17 ถึง 23 พฤษภาคม 2553
Thais dead or injured hospitalized in Bangkok between May 17 to 23
  :  
รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงในแต่ละโรง 
พยาบาล ระหว่างวันที่ 17 ถึง 23 พฤษภาคม 2553

เอบีซีรายงาน "เสื้อแดงออสซี่" ยื่นขอประกันตัวต่อศาล เผยโดนจนท.ไทยทำร้ายร่างกายในคุก

เอบีซีรายงาน "เสื้อแดงออสซี่" ยื่นขอประกันตัวต่อศาล เผยโดนจนท.ไทยทำร้ายร่างกายในคุก


คอเนอร์ เดวิด เพอร์เซลล์

โซ แดเนี่ยล ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักข่าวเอบีซี ประเทศออสเตรเลีย รายงานข่าวว่า "คอเนอร์ เดวิด เพอร์เซลล์" ชายชาวออสเตรเลีย ผู้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ในข้อหามีความข้องเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ยื่นขอประกันตัวจากศาลในวันนี้

อย่างไรก็ตาม แดเนี่ยลรายงานว่า เมื่อเพอร์เซลล์ ชายชาวออสเตรเลียเชื้อสายไอริชวัย 30 ปี เดินทางมาที่ศาล เขาก็ได้ตะโกนบอกนักข่าวที่รอทำข่าวอยู่ว่า ตนเองถูกคุมขังอยู่ใน ห้องขังพร้อมด้วยผู้ชุมนุมอีก 31 คน นอกจากนี้ พวกตนทั้งหมดยังถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายอีกด้วย
 
"เจ้า หน้าที่ติดอาวุธเจ็ดนายได้ทำ ร้ายร่างกายของผมอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคุก ดังนั้น พวกเขาจึงควรย้ายผมไปยังสถานที่ที่มีการดูแลรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด" เพอร์เซลล์กล่าว

รัฐบาลไทยกล่าวโทษว่าชาวออสเตรเลียรายนี้ได้ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการขึ้นกล่าวปราศรัยต่อต้านรัฐบาลต่อหน้าฝูงชนเกิน 5 คน ขณะที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง

สำหรับการพิจารณาคดีในวันนี้ ศาลไทยระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการเวลาอีกระยะหนึ่งในการทำสำนวนคดีของ นายเพอร์เซลล์ ดังนั้น เขาจึงตั้งถูกคุมขังต่อไปจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน

อย่างไรก็ตาม ทนายความของชายชาวออสเตรเลียรายนี้ระบุว่า ถ้าการขอประกันตัวได้รับอนุมัติ ผู้คนที่ร่วมเคลื่อนไหวในขบวนการเสื้อแดงก็จะช่วยกันจ่ายเงินประกันจำนวน 7,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 231,000 บาท ให้แก่ศาล

พบอีก! ชายแต่งชุดพลเรือนถือเอ็ม 16 ปฏิบัติการร่วมกับทหารเมื่อ 19 พ.ค.

พบอีก! ชายแต่งชุดพลเรือนถือเอ็ม 16 ปฏิบัติการร่วมกับทหารเมื่อ 19 พ.ค.

Fri, 2010-06-04 01:01
เผยคลิปกองกำลังแต่งกายแบบพลเรือน ถือปืนเอ็ม 16 ปะปนอยู่กับทหารบริเวณบ่อนไก่ ระหว่างมีการสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค.




วันนี้ (4 มิ.ย. 53) ผู้สื่อข่าวประชาไทตรวจสอบคลิปในเว็บ ไซต์ ยูทิวป์ของคุณ nasak33 ซึ่งระบุว่า "ทหารยิงคุ้มกันเพื่อเคลื่อนย้ายทหารที่บาดเจ็บสาหัสจากการ ถูกซุ่มยิง ขณะสังเกตการณ์อยู่บนตึกข้างอาคารลุมพินีทาวเวอร์ บ่อนไก่" โดยเป็นภาพทหารอยู่ท้ายรถบรรทุกทางทหารยิงปืนกระสุนจริงไปยังเป้าหมายทั้ง แนวเฉียงและแนวระนาบ

อย่างไรก็ตาม ในวินาทีที่ 35 ของคลิปหลังจากที่ทหารแบกเปลเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บผ่านกล้องไปแล้ว จะเห็นชายแต่งกายแบบพลเรือน สวมเสื้อยืดสีขาว ถือปืนเอ็ม 16 วิ่งผ่านกล้อง และมีทหารสวมชุดลายพรางถือปืนเอ็ม 16 และปืนลูกซองวิ่งตาม นอกจากนี้ยังมีทหารอีกนายถือปืนวิ่งผ่านกล้องมาอีก


ภาพจากคลิปข่าวช่อง 9 อสมท. ซึ่งรายงานเมื่อ 19 พ.ค. เวลา 14.30 น. จากย่าน ถ.พระราม 4 ในคลิปตั้งแต่นาทีที่ 1.57 จะเห็นชายสวมชุดพลเรือนร่วมปฏิบัติการกับทหาร โดยในคลิปมีช่วงหนึ่งที่ชายผู้นี้ร่วมกับทหารใช้ปืนยิงไปยังเป้าหมายแห่ง หนึ่งด้วย

โดยก่อนหน้านี้ประชาไทได้เคยตรวจสอบคลิปของช่อง 9 อสมท. ที่ออกอากาศเมื่อ 19 พ.ค. ที่นำเสนอข่าวทหารที่ปฏิบัติการบริเวณ ถ.พระราม 4 บริเวณบ่อนไก่ นอกจากจะสวมเครื่องแบบทหารแล้ว ยังมีชายสวมเสื้อยืดสีขาวถือปืน M16 อยู่ปะปนกับทหารที่มาปฏิบัติการ และร่วมกับทหารใช้ปืนยิงไปยังเป้าหมายแห่งหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวช่อง 9 อสมท. ไม่ได้บรรยายภาพดังกล่าว

War Crimes Expert Joins Investigation of Bangkok Deaths

War Crimes Expert Joins Investigation of Bangkok Deaths

The following is the latest press release on our firm's work in Thailand.
WAR CRIMES EXPERT JOINS INVESTIGATION OF BANGKOK DEATHS
BANGKOK, May 31, 2010: International war crimes expert Professor GJ Alexander Knoops has joined the international legal team investigating the Thai Government's killing of 80 pro-democracy demonstrators and onlookers in Bangkok in May and April, the investigation's leader, international lawyer Robert Amsterdam announced today.
Six of the bodies were found in a "safe haven" temple.
Professor Knoops, of Knoops & Partners, is a world authority on war crimes, state crimes against humanity and genocide. He is working on cases before the International Criminal Tribunal for the Former Yugoslavia, the International Criminal Tribunal for Rwanda, and the Special Court for Sierra-Leone, established by the United Nations and the Government of Sierra-Leone to "try those who bear the greatest responsibility for serious violations of international humanitarian law and Sierra Leonean law committed in the territory of Sierra Leone since 30 November 1996".
Amsterdam and Knoops have collaborated for many years and published a seminal article on Russia as a Dual State in 2006 in the Fordham International Law Journal. "Professor Knoops is a world authority on war crimes and international criminal law and critical to this investigation," Mr Amsterdam said.
Former Thai Prime Minister Dr Thaksin Shinawatra has hired Mr Amsterdam to investigate the killings and government breaches of international human rights and laws.
Dr Shinawatra was elected Prime Minister in 2001, scoring a landslide victory. He became the first Prime Minister in Thai history to serve a full term and introduced policies to alleviate rural poverty, including universal health care. His re-election in 2005 had the highest voter turnout in Thai history. A military coup on September 19, 2006 - while Dr Shinawatra was overseas - took control of the country and banned Dr Shinawatra's party and MPs. People in Thailand's north and north east have been fighting for the restoration of democracy and inclusive elections ever since. They took their protest to central Bangkok in April this year.
On several occasions in April and May, the Thai Government opened fire with live ammunition on the pro-democracy demonstration, killing at least 80 people, including onlookers and at least one foreign journalist, and injuring more than 1,000. Since May 19, the government's military has arrested at least 140 members and supporters of the pro-democracy Red Shirts and its United Front for Democracy Against Dictatorship (UDD) party. At least one Australian citizen, Conor Purcell, 30, and one British citizen, Jeff Savage, 48, have been arrested.
"The Thai junta's crackdown against its own people has not stopped," Mr Amsterdam said. "At least 140 people have been arrested. Most have been held for more than a week without charge and have been denied access to a lawyer, in breach of basic human rights and international law. The military-backed Abhisit regime is flagrantly breaching its obligations as a member of the international community and the United Nations Human Rights Council. It is thumbing its nose to the international community and trampling on the rights of its people."
Mr Amsterdam and Professor Knoops are, in part, assisting the UDD and Red Shirts' legal counsel in Bangkok and Thailand's north. The Thai-based legal team has learned that:
  • At least 140 members and supporters of the Red Shirts have been arrested and are being detained, most without charge.
  • One of the UDD leaders is being held in a military base in Prachuabkeereekan, 200km south of Bangkok. A prominent supporter, an academic, is being held in a military base in Saraburi, 200km north east of Bangkok. (The legal team is not releasing their names for fear they may be singled out for harsher treatment.) It is believed that the remaining 140 are being held in police stations across Bangkok and the north and north east, but there exact location is not known.
  • Many of the 140 detainees have been denied access to a lawyer, breaching international laws.
  • A further 50 people arrested in the days leading up to the crackdown on May 19 have been denied due process of law. Many of them have been brought before the courts, faced a summary trial, without access to a lawyer, and were sentenced to 18 months' jail. The Thai-based legal team will appeal.
Mr Amsterdam said the Thai military's use of its weapons was a gross violation of the United Nations Basic Principles on the Use of Firearms by Law Enforcement Officials of 1990. The principles were adopted by the Eighth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders in September 1990.

UN calls for Thai clashes inquiry


UN calls for Thai clashes inquiry

Thai worker cleans in Bangkok
Protesters destroyed a shopping centre as their rally came to an end

The UN has demanded an independent inquiry into recent unrest in Thailand, when more than 80 people were killed in clashes between security forces and protesters.
UN rights chief Navi Pillay said the guilty must be held accountable.

Opposition MPs have accused Prime Minister Abhisit Vejjajiva of committing violations by ordering the army to crack down on the protesters.

Their nine-week protest paralysed parts of the capital, Bangkok.

Many of the dead were protesters killed when soldiers moved in to dismantle their fortified camp in the city.

The government has repeatedly blamed the violence on "terrorists" it says infiltrated the red-shirt protester ranks, attacking police and soldiers.

'Deep regrets'

The "red-shirt" protesters arrived in Bangkok on 14 March and occupied key parts of the capital, demanding that the government step down.
Attempts to negotiate a political solution failed and on 19 May Thai troops entered the protesters' sprawling camp to end their rally.

Ms Pillay said an inquiry was needed "to foster longer-term political reconciliation".
"I urge the government to ensure that an independent investigation of recent events be conducted, and all those found responsible for human-rights violations are held to account," she said in a speech in Switzerland.

In response, Thailand's UN envoy Sihasak Phuangketkeow said an independent commission was "being set up".

"The Thai government deeply regrets the loss of lives and injuries that occurred, and is committed to bringing those responsible to account," he said.

Meanwhile, Mr Abhisit came under renewed pressure on Monday as the parliament debated a censure motion against him and several ministers.

The opposition Puea Thai Party, broadly seen as supporting the red-shirts, accused the prime minister of using excessive force.

Although the government has a big enough majority to see off any no-confidence motion, analysts say the televised debate has become a focal point in the battle for public opinion.

UN rights chief urges independent probe on Thai violence

UN rights chief urges independent probe on Thai violence


AFP/File – UN human rights chief Navi Pillay, pictured in April 2010, called Monday for an independent probe into …



Mon May 31, 2:46 pm ET

GENEVA (AFP) – UN human rights chief Navi Pillay called Monday for an independent probe into the recent deadly violence in Thailand and for those responsible for rights violations to be held to account.

"To foster longer-term political reconciliation, I urge the government to ensure that an independent investigation of recent events be conducted and all those found responsible for human rights violations are held to account," Pillay told the Human Rights Council at the opening of the latest session.

The comments came as Thailand's Prime Minister Abhisit Vejjajiva was accused in parliament of violating human rights when he ordered an army crackdown on opposition protesters that left 88 people dead.

The UN High Commissioner for Human Rights acknowledged that the Thai government had tried to resolve the deadlock and that the authorities had the responsibility of restoring order.

"In doing so, however, they must abide by international standards concerning the use of force and due process for those detained," she said.

Reacting to Pillay's call, Thai ambassador Sihasak Phuangketkeow told the Human Rights Council that "an independent commission is being set up to look into all the incidents that took place during the protests."

"The Thai government deeply regrets the loss of lives and injuries that occurred, and is committed to bringing those responsible to account so as to provide justice to those affected by these tragic incidents," he added.

The ambassador also stressed that the use of force by security forces was a "last resort" and in line with international standards.

He added that the government stood ready to be scrutinised for its handling of the protests.
"The government does not seek to evade any responsibility," he said.

"Let me stress that the Thai government is open to scrutiny and is ready to be subject to legal process in accordance with the law," he added.

พบแล้วสาวแดงสุดท้าย-เวทีม็อบ

พบ แล้วสาวแดงสุดท้าย-เวทีม็อบ

นั่ง รอจน ทหารบุก สลดแท็กซี่ เหยื่อปืน!


เจอ แล้ว - น.ส.ผุสดี งามขำ อดีตพยาบาลซึ่งเป็นเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งอยู่หน้าเวทีแยกราชประสงค์ เปิดตัวให้สัมภาษณ์ถึงการปักหลักอยู่หน้าเวทีเป็นคนสุดท้าย กระทั่งทหารเข้ายึดพื้นที่ทั้งหมดในช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค. จึงยอมถอยออกมา

พบตัวแล้ว สาวเสื้อแดงที่ปักหลักเวทีราชประสงค์คน สุดท้ายเจ้าตัวเผยออกจากพื้นที่ชุมนุมเพราะตามนักข่าวต่างประเทศออกไป มั่นใจมีคนตายมากกว่านี้ เพราะมีเสื้อแดงเข้าไปหลบในเซ็นทรัลเวิลด์จำนวนมาก โวยรัฐบาลยัดข้อหาก่อการร้ายให้ผู้ชุมนุม ด้านน้องชายแท็กซี่เหยื่อปืนถูกยิงเสียชีวิตโวยทหารฆ่า ระบุพี่ชายถูกยิงระหว่างเดินผ่านกลุ่มฮาร์ดคอร์บริเวณสวนลุมพินี กระสุนเจาะหน้าอกตายสุดอนาถ ยืนยันไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง ด้านมูลนิธิกระจกเงาเผยยอดคนหายในช่วงกระชับพื้นที่ 39 ราย ส่วนสาวเสื้อแดงคนสุดท้ายที่อยู่ในเวทีราชประสงค์ญาติยังไม่ได้มาแจ้ง

ความ คืบหน้ากรณีหนังสือพิมพ์ข่าวสด เดินหน้าเปิดเผยความเป็นมาของผู้เสียชีวิตจากเหยื่อปืนในเหตุการณ์ชุมนุม ประท้วงรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. ซึ่งพบว่าไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายตามที่มีการกล่าวหา หากแต่เป็นประชาชนชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ที่ไปร่วมชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง หรือไม่ก็โชเฟอร์แท็กซี่ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิ พยาบาลอาสา เป็นต้น อีกรายที่ตกเป็นเหยื่อปืนจนเสียชีวิต ได้แก่ นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

เมื่อ วันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายนพดล นิลเหลือง น้องชายของนายเสน่ห์ ว่า ในวันเกิดเหตุตนและพี่ชายกำลังจะนำรถแท็กซี่ไปเปลี่ยนกันที่บ้านพี่สาว บริเวณแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตนโทรศัพท์คุยกับพี่ชายที่กำลังเดินทางมาบ้านพี่สาว พี่ชายบอกว่า ถนนถูกปิดหมด พี่ชายจึงลงรถที่คลองเตยแล้วเดินมา แต่เมื่อมาถึงแยกบ่อนไก่มีทหารกั้นไม่ให้เข้า พี่ชายจึงเดินเลาะมาทางสวนลุมไนท์ บาซาร์ ขณะที่ตนกำลังขับจักรยานยนต์จะไปรับพี่ชาย มีคนโทร.มาบอกว่าพี่ชายโดนยิงที่หน้าอก นัดเดียวตัดขั้วหัวใจทะลุหลัง ตอนที่ทราบข่าวก็ไม่คิดว่าพี่ชายจะถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธที่ใช้คล้ายกับอาวุธสงคราม ไม่น่าจะใช่ปืนลูกซอง ตอนนั้นทหารอยู่บริเวณสนามมวย ส่วนพี่ชายผมอยู่ด้านหลังของแนวร่วมกลุ่มฮาร์ดคอร์ พี่ชายผมยังไม่ทันเดินผ่านแนวฮาร์ดคอร์ ก็โดนยิงเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นฝ่ายยิง แต่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก็ไปดูจุดที่เกิดเหตุการณ์ เห็นรอยกระสุนที่สะพานลอย ราวเหล็ก มาจากแนวทหารทั้งนั้น

"ผมเลยคิดว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในแนวทหาร ทำไมทหารไม่จัดการ แล้วพี่ชายผมไม่มีอาวุธ ทำไมคุณถึงต้องยิงคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วย" นายนพดลกล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ปกตินิสัยของพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพียงแต่วันนั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวพอดี พี่ชายอยู่กับแฟนและลูกติด อีก 4 คน อยู่กินกันมาหลายปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ภาระจะอยู่ที่การส่งเสียค่าเล่าเรียนลูกเลี้ยงคนเล็ก และครอบครัวของพี่ชายหลังจากการเสียของพี่ชายเองน่าจะมีปัญหา เนื่องจากรายได้ของแฟนพี่ชายมีเพียงไม่กี่พันบาทจากอาชีพแม่บ้านชั่วคราว ที่มีงานก็ได้เงิน แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีรายได้อะไรเลย แต่โชคดีอยู่บ้างตรงที่พี่ชายเป็นคนสมถะ จึงไม่ได้ทิ้งหนี้สินอะไรไว้ให้กับครอบครัวหรือญาติพี่น้อง
นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง ตนทำใจได้บ้างแล้ว แต่พี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็ก จนถึงตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ พอเวลาเข้านอนครั้งใด ร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากมีความผูกพันกันมาก ถึงตอนนี้การช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่มีติดต่อเข้ามา ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ หรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงตนที่ติดต่อเรื่องเข้าไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนอื่นมีช่วยเหลือมาแล้ว คือสำนักพระราช วัง และพรรคเพื่อไทย

"แต่ ที่ยังค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ คือวันที่เกิดเหตุนั้น สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าไปแจ้งความได้ หลังจากวันนั้นจึงเข้าไปแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับบอกว่ามีคนแจ้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใคร ไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่มีหลักฐานใดๆ ขอดูหลักฐานการแจ้งความก็ไม่ให้ดู ร้อยเวรประจำวันก็หลบหน้า แค่อยากรู้ว่าคนที่แจ้งความเป็นใคร เพราะรับไม่ได้ที่แจ้งว่าพี่ชายเป็นพวกฮาร์ดคอร์ เป็นพวกเสื้อแดงหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ตรงนี้ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เรียกร้องอย่างเดียว ไม่ใช่เงินทอง แต่อย่ามาพูดว่าที่พี่ชายเสียชีวิต เพราะเป็นพวกก่อการร้าย มันไม่ใช่ความจริง รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ว่าทำผิดพลาดลงไป ต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป" นายนพดลกล่าว

วัน เดียว กัน นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า ขณะนี้มูลนิธิได้รับแจ้งคนหายจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แล้ว 42 ราย ตามหาพบแล้ว 3 ราย และญาติไม่ประสงค์ตามตัวต่อ 1 ราย ทั้ง 3 รายที่ตามตัวพบแล้ว ส่วนหนึ่งไปอยู่ที่อื่น และขาดการติดต่อไประหว่างเหตุชุลมุนในการกระชับพื้นที่ อีกส่วนถูกจับกุมและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมา ส่วนการเปิดเผยรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้งนั้น หากมีผู้สอบถามมา มูลนิธิก็ยินดีให้ข้อมูล และมูลนิธิกำลังเปิดรับอาสาสมัครมาช่วยงาน เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานติดตามคนหายอยู่เพียง 2 คน ทำให้การทำงานค่อนข้างลำบาก

ส่วน กรณีของนางผุสดี งามขำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้าย และหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าหายไปไหนหลังการกระชับพื้นที่นั้น นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีญาติของนางผุสดี มาแจ้งความคนหายกับมูลนิธิแต่อย่างใด

นาย เอกลักษณ์ เปิดเผยต่อว่า ในการติดตามคนหายจากสาเหตุทางการเมืองนั้น มูลนิธิจะแบ่งเป็นผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต ผู้ถูกจับกุมคุมขัง หรือผู้ที่ขาดการติดต่อไป ซึ่งกรณีของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ขณะนี้มีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงส่วนของผู้ถูกคุมขัง ที่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อส่วนนี้ออกมา มูลนิธิจึงพยายามเรียกร้องต่อหน่วยงานที่มีอำนาจในการจับกุมคุมขังให้เปิด เผยรายชื่อส่วนนี้ หากรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้ง ไม่ตรงกับรายชื่อของผู้ถูกคุมขัง มูลนิธิจะได้ติดตามในแนวทางอื่นต่อไป มูลนิธิเคยแจ้งเรื่องนี้ไปกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้ว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงไปมาตลอดเวลา

"เรา เป็นองค์กรพัฒนา เอกชน ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ไปขอดูเอกสารการใช้อำนาจ เรายินดีที่จะจับมือกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายเสื้อแดง ฝ่ายรัฐ ฝ่ายทหาร ทั้งหมดน่าจะจับมือกันเป็นคณะกรรมการร่วมกัน เพราะถ้าทำเป็นรูปคณะกรรมการ แต่ละหน่วยก็จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีกว่าเราที่เป็นองค์กรเอกชนธรรมดา ซึ่งบางทีจะไปขอข้อมูลจากศอฉ. ข้อมูลของฝ่ายทหาร ว่ามีคนถูกจับกุมกี่คนก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีรัฐมาเป็นคณะกรรมการทำงานด้วยทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น" นายเอกลักษณ์ กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรค
วัน เดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบผู้หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงอยู่คนเดียว หน้าเวทีปราศรัย สี่แยกราชประสงค์ ระหว่างกำลังทหารบุกเข้ามากระชับพื้นที่ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค. โดยหญิงคนดังกล่าวทราบข่าวจากประชาชนว่ายังมีชีวิตอยู่ที่บ้านย่านฝั่ง ธนบุรี คือ นาง ผุสดี นาคคำ อดีตพยาบาล อายุ 54 ปี

นางผุ สดี เปิดเผยนาทีระทึกช่วงทหารบุกมาถึงตัวว่า อดีตตนเคยเป็นแฟนคลับของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่เริ่มเห็นว่าสิ่งที่ทั้งนายสนธิ และรัฐบาลทำนั้นไม่ถูกจึงหันเหมาต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดง เป้าหมายเพียงเพื่ออยากให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่เท่านั้น วันที่ 13 มี.ค. ตนก็เริ่มเข้าร่วมชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ จนย้ายมาที่ราชประสงค์ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตลอด 2 เดือน เพราะต้องนอนอยู่กลางถนนทั้งที่ไม่เคยคิดเลยว่า แค่เรียกร้องให้ยุบสภาจะต้องมีคนมาล้มตายมากขนาดนี้

นางผุ สดี กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นั้น หลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตนเดินไปหน้าเวทีเพราะไม่เห็นด้วยที่มายุติตอนคน เสื้อแดงตายไปมากแล้ว ถ้าเลิกกลางคันแบบนี้ คนที่ตายก็ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายทันทีตนคิดเพียงว่า เพื่อคนเสื้อแดงไม่ต้องตายเปล่า ควรรวมตัวกันอยู่ที่เวทีอย่างสงบเพื่อให้โลกรู้ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้ ก่อการร้าย แต่หลังจากเสียงระเบิดและเสียงปืนดังใกล้เวทีต่อเนื่องแกนนำทั้งหมดก็วิ่ง หนีไปมอบตัว ส่วนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ก็หนีไปด้วย จึงตั้งใจว่าเมื่อครั้งหนึ่งเคยให้สัญญากับแกนนำคนหนึ่งไว้ว่า "คนเสื้อแดงจะอยู่และตายร่วมกัน" จึงตัดสินใจอยู่เพื่อรอจนกว่าทหารจะมาจับหรือยิงตนทิ้ง

น.ส.ผุ สดี กล่าวต่อว่า ตนตัดสินใจนั่งถือธงแล้วนั่งจ้องไปทางแยกประตูน้ำเพราะคิดว่าทหารจะเข้ามา ทางนั้นโดยมีนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ รอบตัวมีควันไฟเสียงปืนและเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่แผ่เมตตาเพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ แต่หลังจากนั้นมีทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองจำนวนหลายสิบนายเดินเข้า มาทางฝั่งเพลินจิต นักข่าวกลุ่มที่ยังอยู่ก็กรูเข้ามาสัมภาษณ์ตนเพื่อเหมือนกับจะบอกให้ทหารรู้ ว่ามีนักข่าวอยู่ จะได้ไม่กล้าทำอะไร แต่ทหารกลุ่มนั้นก็มาเพียงขอให้กลับบ้านไปและไม่ได้มีท่าทีคุกคาม ซึ่งเมื่อมานั่งคิดดูแล้วได้ปักหลักอยู่สู้จนทหารบุกเข้ามาเจอตนคนสุดท้าย แม้รอดชีวิตแต่ภารกิจก็ถือว่าสิ้นสุด จึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อที่อยู่ในกระเป๋าจากแดงเป็นสีขาวแล้วเดินตามนักข่าว ต่างประเทศกลุ่มนั้นออกมาทางเพลินจิต ตลอดเส้นทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดมี ทั้งรถทหาร และรถดับเพลิง รถคุมขังแต่น่าแปลกที่ทหารเหล่านี้กลับไม่นำรถดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้ อยู่ และนอกจากตนแล้วยังมีหญิงอีก 2 คนนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ ซึ่งตอนที่ตนออกมานั้นทั้งคู่ก็ยังอยู่ ขณะนี้ไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นอย่างไร

"ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีอีกหลาย คนที่สูญหายไป เพราะเชื่อว่าที่ใต้ถุนเซ็นทรัลเวิลด์นั้นยังมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งวิ่ง เข้าไปหลบภัย" นางผุสดีกล่าว

นางผุสดี กล่าวด้วยว่า ความรู้สึกของคนเสื้อแดงตอนนี้อยู่ในภาวะที่เจ็บช้ำ สังคมเชื่อในสิ่งที่เขาใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เราเป็นคนไทยที่หลงผิดว่าบ้านเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ที่แท้เป็นเผด็จการ ทั้งยังเสียใจที่คนเสื้อแดงต้องมาตายอย่างโจร รัฐบาลก็ออกมาซ้ำเติมตลอดวันนี้ พวกเรายังมีอุดมการณ์อยู่ในใจ รอโอกาสที่จะออกมาเรียกร้องใหม่และการต่อสู้ครั้งใหม่ไม่ได้เพื่อการทำลาย ล้าง แต่เพื่อให้สังคมรู้ความจริงที่เกิดขึ้น คนเสื้อแดงทุกคนเหมือนคนป่วยหนักที่ต้องพักฟื้น แต่ยังไม่ยอมแพ้ คนที่เผาบ้านเผาเมือง ตนเชื่อมั่นว่าคนพวกนั้นต้องไม่ใช่คนเสื้อแดงเพราะคนเสื้อแดงที่แท้จริงรัก สงบ

"สำหรับแกนนำนั้นก็ไม่ได้โกรธที่หนี แต่ไม่พอใจที่พยายามหลอกตัวเองว่าจะมีกองกำลังจากยูเอ็นมาช่วย ทั้งที่ความจริงเป็นไปไม่ได้ แต่แกนนำพยายามนำเรื่องนี้มาสร้างฝันให้คนที่ยังสู้อยู่ทั้งที่ยอมรับ ตั้งแต่แรกว่าไม่มีกองกำลังนี้ คนเสื้อแดงจะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมรับมือกับเหตุที่จะเกิดอย่างไรและอาจจะ สูญเสียน้อยกว่าที่เกิดขึ้น" นางผุสดี กล่าว

เบื้องหลังฉาก เลือด พ.ค.ทมิฬ "53 "มาร์ค" 100 ศพ ล้างเผ่าพันธุ์ "แดง" นักฆ่าลอยฟ้ากับฮีโร่ ของ ปชป.

เบื้องหลัง ฉาก เลือด พ.ค.ทมิฬ "53 "มาร์ค" 100 ศพ ล้างเผ่าพันธุ์ "แดง" นักฆ่าลอยฟ้ากับฮีโร่ ของ ปชป.


ไม่ ใช่เรื่องเกินคาดที่กองทัพจะเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราช ประสงค์ เมื่อแผนโรดแม็ปของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกล้มเลิก

ไม่ใช่เรื่องเกินคาด ที่จะเกิดปฏิบัติการยึดราชประสงค์ หลังจากที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แม่ทัพแดงผู้คุมกองกำลังติดอาวุธและผู้วางแผนยุทธวิธีสู้ ตายสนิท หลังจากที่ถูกยิงเมื่อ 13 พฤษภาคม แล้วนอนไอซียูนาน 82 ช.ม.

ไม่ใช่ เรื่องเกินคาดที่ยุทธการยึดราชประสงค์ จะสำเร็จราบรื่นง่ายดาย เพราะไม่มี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" หรือไอ้โม่งดำเจ้าเก่าเมื่อ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว แหวกวงล้อมทหารออกปฏิบัติการโจมตีทหารในยามค่ำคืน

ระหว่าง ยุทธการปิดล้อมเต็มรูปแบบได้แต่ที่เกินคาด ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หักหลัง ทั้งประธานวุฒิสภาและกลุ่ม ส.ว. ที่อาสาเป็นตัวกลางเจรจากับแกนนำ นปช. ด้วยการสั่งทหารลุยปราบม็อบแดง หลัง จากที่แสดงทีท่าและวาจาบางประโยค ที่ทำให้ฝ่าย ส.ว. คิดว่าพร้อมเจรจาด้วย แค่ไม่กี่ชั่วโมงรุ่งสางของวันพุธที่ 19 พฤษภาคม

วันที่ ใครๆ คิดว่าบ้านเมืองมีทางออก เพื่อลดความสูญเสีย กลับกลายเป็นวันมหาวิปโยคนองเลือด ทั้ง นายประสบสุข บุญเดช และเสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช หน้าแตกยับเยิน
จาก "พฤษภาทมิฬ 2535" มาสู่ "พฤษภาทมิฬ 2553" ฉากเลือดที่ทำให้ทหารด้วยกันเองตกตะลึง

เพราะ กลางดึกคืนวัน 18 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ประกาศกร้าวกลางวงขุนทหารที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ว่า "การเจรจาจบไปนานแล้ว" อันหมายถึงการเดินหน้ายุทธการ "ยึดราชประสงค์ 53" ตามแผนเดิมที่ได้หารือกันอย่างลับๆ มาแล้ว 2 วัน

แม้ขุน ทหารส่วนหนึ่งอยากให้ท่านผู้นำลองอีกสักครั้งไม่เสียหลาย การเจรจาเริ่มต้นขึ้นได้เสมอ ขณะที่ อีกส่วนหนึ่ง กระตุ้นให้ ท่านผู้นำตัดสินใจ ด้วยเพราะกำลังทหารและแผนทั้งหมดพร้อม 100% ที่จะเข้าปฏิบัติการแล้ว เพราะถ้าเลยวันดีเดย์ 19 พฤษภาคม ออกไปอีก ก็จะเสียจังหวะ เพราะกว่าที่จะพร้อมต้องใช้เวลาและวงรอบ หลังการสับเปลี่ยนกำลังทหารให้สดชื่น และชินกับพื้นที่ปฏิบัติการรวมถึงการประสานของหน่วยกำลังต่างๆ ทั้งกำลังหลัก 3 กองพล

คือ กอง พลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ที่บทหนักสุด บุกตะลุยสวนลุมพินี ด่านศาลาแดง ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของ เสธ.แดง กอง พลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) บุกด้านเพลินจิต ชิดลม และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) บุกเข้าทางปทุมวัน

รวมถึง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของรบพิเศษ และคอมมานโดของอากาศโยธิน (อย.) กองทัพอากาศ ที่ต้องประสานกับรถไฟลอยฟ้าบีทีเอสให้หยุดเดินรถ เพราะต้อง "ปฏิบัติ การลอยฟ้า" ขึ้นไปเดินเท้าบนรางรถไฟฟ้าเพื่อเข้าโจมตีจากหลายจุด เพื่อปลิดชีพคนหัวใจแดง แต่ฉาบหน้าด้วยหน้าที่ระวังป้องกัน

กำลัง ทางพื้นราบที่ทหารม้าใช้รถสายพานลำเลียงพล (เอพีซี.) แบบ T85 บุกด่านหน้า โดยหน่วยรบพิเศษบนรางรถไฟฟ้าทุกจุดมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ เวทีการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์โดยเฉพาะที่แยกศาลาแดง จุดเข้าตีจุดใหญ่จุดแรก ที่พวกเขามีหน้าที่ยิงแล้วก็ยิงใส่กลุ่มฮาร์ดคอร์และผู้ชุมนุมเบื้องล่าง ที่แม้จะถอยห่างจากแนวรั้วแนวรบก็ไม่รอด

"ผมจะไม่ ให้เวลาพวกมันอีกแล้ว"

คือ ประโยคที่ขุนทหารคาดไม่ถึงว่าจะหลุด ออกมาจากปากท่านผู้นำอย่างง่ายดาย อันหมายถึงการตกลงใจส่งทหารทั้ง 112 กองร้อย หรือเกือบ 2 หมื่นคน เข้าสลายการชุมนุม ภายใต้คำสวยหรูไม่ดูรุนแรงว่า กระชับวงล้อมพื้นที่ การ ชุมนุมเรื่องที่เกินคาด จนทหารเองก็แปลกประหลาดใจ ตรงที่ ปฏิบัติการนี้สุดแสนจะง่ายดาย สำเร็จอย่างราบรื่น

เพราะ แม้จะมีการ ตอบโต้จากกองกำลังติดอาวุธ ทั้งปืนสั้น ปืนเอ็ม 16 หรือเอ็ม 79 แต่ก็ไม่ระคายผิวทหารแม้แต่น้อย เพราะมีแค่กลุ่มการ์ด นปช. ที่เคยได้แต่เดินกร่าง ยิงปืนได้ แต่ไม่เป็นยุทธวิธีทางทหาร และพวกเสื้อแดงที่บ้าระห่ำใช้หนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง สู้กับลูกปืนของทหาร จนต้องร่วงผล็อย นอนตายข้างถนนอย่างไร้ค่า

อีกทั้ง กองกำลังติดอาวุธและฮาร์ดคอร์ที่เคยมีอยู่ ก็ได้กระจายกำลังออกไปต่อสู้กับทหารที่ชายแดนรอบนอกหลายจุด ทั้งบ่อนไก่ พระราม 4 สามย่าน ดินแดง ประตูน้ำ ราชปรารภ รางน้ำ จนเจ็บตายกันไปเยอะ ที่เหลือก็กลับเข้ามาพื้นที่วงในหัวใจสำคัญที่ราชประสงค์ไม่ได้ เพราะมีทหารอุดไว้หมด
แถมทั้ง บทเรียนจาก 10 เมษายนที่ทหารพ่ายแพ้ ทำให้ ศอฉ. ไฟเขียวให้ยิงด้วยกระสุนจริงได้เมื่อเห็นตัว โดยไม่ต้องสนว่า มันจะมีอาวุธอยู่ในมือหรือไม่

ถ้าจะ พูดกันตรงๆ สำหรับทหารแล้ว มันมันมือนะที่ได้ยิงกระสุนจริง แถมเป้าวิ่ง คนจริงๆ ชีวิตจริงๆ ได้อารมณ์มากกว่า ยิงเป้ากระดาษ หรือยิงกระสุนซ้อม หรือใช้ปากตะโกน "ปังๆ ๆ" ในตอนฝึกซ้อมรบเยอะเลย ร่วงเห็นๆ เลือดกระจาย แถมยิงได้ไม่อั้นไม่ต้องกลัวเปลืองกระสุน หรือต้องคอยเก็บปลอกส่งคืนนาย มันถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของพวกทหารบ้าเลือดเลยทีเดียว

แต่ขอ แค่ว่าเมื่อถึงเวลาต้องสู้กับทหารเขมรขอให้ได้อย่างนี้นะไม่เชื่อก็ ต้องเชื่อ สำหรับทหารแล้วมีจำนวนไม่น้อยที่ "บอดี้เค้าต์" ไปด้วย ราวกับเป็นเกียรติประวัติในชีวิตตัวเอง โดยลืมนึกไปว่าไอ้เสื้อแดงหรือหัวใจแดงตรงหน้า มันคือคนไทย แต่ทว่า พวกเขาถูก "ตั้งโปรแกรมใส่หัว" ไว้แล้วว่า มันเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างสถาบัน

อย่า ลืมว่า นายกรัฐมนตรี ประกาศ "ให้ เสรีในการปฏิบัติ" แก่ทหารและหน่วยความมั่นคงอย่างเต็มที่ไว้แล้ว แม้แต่หน่วยรบพิเศษลอย ฟ้าที่พร้อมบุกเข้าใจกลางการชุมนุม อันมีเป้าหมายที่แกนนำ นปช. ตัวเป้งๆกำลังทหารหลักทั้ง 3 กองพลถูกสั่งให้ เมื่อยึดแยกสารสินได้ ยังไม่บุกเข้าสี่แยกราชประสงค์ เพราะกลัวสูญเสียมาก แต่ใช้กำลังทหารกดดันเพื่อให้แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมเอง ที่ไม่ใช่แค่เพราะกลัวผู้ชุมนุมจะล้มตายกันอีกเป็นเบือ แต่ยังกลัวว่าพวกเขาเองจะเป็นเป้าของสไนเปอร์นักฆ่าลอยฟ้า ที่เคยปลิดชีพ เสธ.แดง มาแล้วด้วยนั่นเอง เพราะคำสั่งตกลงมาแล้ว

แล้วที่ เกินคาดก็ คือ งานนี้สำหรับทหาร สำหรับ ศอฉ. แล้ว ถือว่า "ตายน้อย" กว่าที่คาด หรือประมาณการ หรือภาษาทหารเรียกว่า "จำหน่าย" ไว้ เพราะแค่ 54 คน จากที่คาดกันไว้ว่าน่าจะเป็นหลักร้อย 200-300 คน บาดเจ็บเป็นพัน

รวมทั้ง หมดตั้งแต่ 10 เมษายนอีก 31 ราย ปะทะประปรายมาเรื่อยๆ อีกแค่เกือบร้อยศพเท่านั้น จึงไม่แปลกที่หลังเสร็จสิ้นยุทธการ ทั้ง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. และรัฐมนตรีต่างๆ จะมีเสียงชื่นชมและขอบคุณจากผู้นำ ต่อบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ที่แม้จะกลายเป็นขุนพลมือเปื้อนเลือดไปแล้ว แต่ในฐานะผู้วางแผนยุทธการ และสั่งการทั้งหมด จนทำให้ทั้งสองเกลอเพื่อนรัก กลายเป็น "ฮีโร่" กลางใจรัฐบาล กลางใจขุนพลประชาธิปัตย์ และเป็นฮีโร่ของ ศอฉ.

แต่คง เป็นตรงกันข้ามในสายตาคนเสื้อแดงด้วย เพราะ สองนายพลนี่แหละที่จะขึ้นสู่อำนาจ เคียงข้างและหนุนหลังรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในอีกไม่ช้านี้ คนหนึ่งคือ ผบ.ทบ. ที่เปี่ยมอำนาจและบารมี แถมมีอายุราชการถึงปี 2557 ส่วนอีกคนจะขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก เป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ ในฐานะเพื่อนรักพร้อมด้วยแผงอำนาจเพื่อนเตรียมทหาร 12 ที่มีผลงานอันน่าภาคภูมิใจหนนี้ ขึ้นมาคุมกองทัพบก จนแทบจะจัดเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. ไม่ลงตัว

ทั้ง พล.ท.โป ฎก บุนนาค ผบ.นสศ. ที่ส่ง ฉก.90 พร้อมพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นับร้อยมาเป็นพระเอกในยุทธการนี้ แถมมีผลงาน "โบว์แดง" ที่เป็นที่ "รู้กัน" อีกด้วย แม้แต่ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่กลายเป็นตราบาปของบิ๊กโชย

พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือของ ร.31 รอ. ลูกน้องแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้บุกมาถึงวัด ได้รับคำสั่งให้หยุดอยู่ที่สยามพารากอน

บิ๊ก เต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายกิจการพลเรือน (ฝกร.) เตรียมขึ้นเป็น รอง เสธ.ทบ. ด้วยผลงานด้านปฏิบัติการจิตวิทยา และ propaganda และ สงครามข่าวสารข่าวลือ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ใจไม่เหลือง ดูข่าวไปอาเจียนไป

บิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 ที่คุมกำลังทหารม้า พล.ม.2 รอ.ของน้องรัก บิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญสิริ เป็นกำลังหลัก ลุ้นขึ้นเป็นพลโท แม่ทัพภาค 1 แทนบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่งานนี้หนาวๆ ร้อนๆ เพราะผลงานไม่เข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุที่เป็นทหารสายพิราบ จนถูกตวาดว่า "ถ้ามึงไม่ยิงมัน แล้วจะให้มันยิงมึงก่อนหรือไง"แม้จะเป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะเขากับ พล.ท.ดาว์พงษ์ มีปัญหาทางใจกันอยู่ จึงอาจทำให้ พล.ท.คณิต พบเจอกับ "สิ่งไม่คาดฝัน" เพราะในยุทธการนี้เขาก็ถูกข้ามหัว สั่งการไปยังผู้บัญชาการกองพล โดยไม่ผ่านแม่ทัพ

มองออก ไปข้างหน้าอีกนิด หลังการโยกย้ายทหารในเดือนกันยายนเสร็จ วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป กองทัพบก มี ผบ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ เสธ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่ล้วนเป็นทหารขาลุย เด็ดขาด คนหนึ่งเป็นนักรบเหรียญรามาฯ ที่แม้จะมีตำนานเล่าอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นนักรบผู้หาญกล้า ความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสียเต็มตัว

ส่วนอีก คนเคยเป็นมือขวาบิ๊ก ตุ๋ย พล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี ในยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อ 18 ปีที่แล้วมาก่อน มีดีกรีเป็น ผบ.ร.11 รอ. และ ผบ.พล.1 รอ.

ยิ่งใน สภาวะที่ นายอภิสิทธิ์ ตามล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง ประหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั่วประเทศ หมายถอนรากถอนโคนด้วยแล้ว รับรองว่า ทบ. ในยุค "ผบ.ตู่" กับ "เสธ.หนุ่ย" ไม่มีอิดออดหรือประคองตัวแบบบิ๊กป๊อกแน่ แต่ชาติบ้านเมืองจะเป็นยังไงก็คิดกันเอาเองได้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เพื่อนรักต่างสายพันธุ์คู่นี้ ที่คนหนึ่งเป็นบูรพาพยัคฆ์ อีกคนเป็นวงศ์เทวัญ ทำไม่ได้ หรือไม่กล้าทำ หากเพื่อสกัดกั้นคนเสื้อแดงและการกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา "ผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ"ใบหน้าที่สดใสของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้ง พล.ท.ดาว์พงษ์ หลังชนะสงคราม ปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่างจาก พล.อ.อนุพงษ์ ที่เดินก้มหน้างุดๆ เช็ดเลือดที่ไหลจากมือซิบๆ และแววตาทุกข์ใจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม

สงคราม ยังไม่จบ นับศพทหารได้ไม่กี่ศพ แต่ศพประชาชนนับได้ถึง 85 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันคน ตั้งแต่ 10 เมษายนเรื่อยมา จนทุกวันนี้ และส่อเค้าว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะต้องมีการประกาศเคอร์ฟิวต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ และคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก และเสี่ยงต่อการปะทะและสูญเสียอีกนั้น ก็อาจทำให้ นายอภิสิทธิ์ กลายเป็นนายกฯ ร้อยศพ หรือมาร์ค 100 ศพ เข้า จนได้สักวัน

แน่นอน ว่า วันนี้รัฐบาล ปชป. ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ผู้มีความแข็งแกร่งและแข็งกร้าว เด็ดขาด ยิ่งกว่าบิ๊กทหาร หรือจอมพลบางคนในกองทัพ ได้เป็นผู้ชนะ แถมมีกองทัพหนุนหลัง ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่ต้องยิงคนไทยด้วยกันเอง ก็ยิ่งมั่นคง ใครๆ ก็ยอมสยบ ขอเป็นพรรคเป็นพวก ขอเป็นผู้ชนะด้วย

ยิ่ง เรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ลืมไปได้เลย เพราะตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ทั้งแข็งและเป็นต่อ จนบิ๊กๆ ทหารเห็นด้วยกับฉายา "สฤษดิ์ น้อย" แถมไม่มีแม้เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบหรือสปิริตจากผู้นำออกมาเลยสักแอะ ยิ่งเมื่อเวลานี้ มี "สฤษดิ์น้อย" ถึง 2 คน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยประชาชน เกลียดนักการเมือง ไม่น่าห่วง เพราะมันน่ารังเกียจอยู่แล้ว ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่อย่าทำให้ประชาชนเกลียดทหาร แม้จะเป็นประชาชนเสื้อแดง ผู้คิดต่าง แถมเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ความแตกแยกยิ่งร้าวลึก

ที่น่า เป็นห่วงคือ คำสั่ง ศอฉ. ที่ให้ทหารในต่างจังหวัดกวาดล้างแกนนำและคนเสื้อแดง ทั้งเหนือ และโดยเฉพาะอีสาน พื้นที่ เรดโซน ที่บิ๊กกะหล่ำ พล.ท.วี ร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.10 ของบิ๊กป๊อก เรียกแกนนำแดงและนักการเมืองในสายพรรคเพื่อไทย มารายงานตัว พร้อมสำทับด้วยประโยคสุดหนาวและน่าขนลุกที่ต้องเซ็นเซอร์เอาไว้ แต่ทว่า ความเคียดแค้นเกลียดชังฝังในและรอวันปะทุไม่มีความเมตตาปรานีในสนามรบ ทั้งนักการเมืองและทหารที่อยู่ในอำนาจ ต่างมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
เพราะ ยังมีคำสั่งให้ตามล่าตัวแกนนำที่หลบหนี โดยเฉพาะ กี้ร์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่มีข่าวหลบไปทางเขมรบ้าง อีสานหรือแม้แต่ภาคเหนือบ้าง และแรมโบ้อีสาน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ท่ามกลางข่าวลือที่ทั้งคู่ถูก "จับตาย" ไปแล้ว แม้แต่ "เก่ง" การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย เขตดอนเมือง นักการเมืองร่างเล็กจอมซ่า ก็อยู่ในลิสต์ และการตามล่าของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 30 คน ด้วยข้อหา "บงการเผาเมือง" จาก ศอฉ.

เขมรเคย มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง แต่ตอนนี้ ไทยกำลังล้างบางไทยแดง โดยที่รัฐบาล ปชป. บังคับให้ทหารต้องเป็นศัตรูกับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ปากท่านผู้นำบอกจะเยียวยา ปรองดองจนไม่อาจรู้ว่า ในอนาคตอันใกล้ ทหารจะแต่งเครื่องแบบเดินถนนได้หรือเปล่า ทั้งในกรุงเทพฯ อีสานหรือเหนือ ที่ตั้งหรือหน่วยทหาร จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี และวินาศกรรม ไม่ต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ ชนะแล้ว แต่ควรต้องตั้งสติใหม่ว่า ตนเองคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ผู้กำลังมีชัยชนะ ที่ต้องตามล้างบางศัตรูให้ย่อยยับ จนไม่มีที่ยืน หรือว่าต้องการผลักไสให้พวกเขาเข้าป่า หรือไปจับมือกับโจรใต้ เพื่อกลับมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อกดดันรัฐบาล
ชาติ บ้านเมืองอยู่ในมือแล้วเห็นทีท่านผู้นำต้องหยุดรังสีอำมหิต หลบซ่อนแววตาแห่งชัยชนะ หยุดคำพูดเชือดเฉือน หยุดการผลักไสพวกเขาให้เป็นศัตรูถาวรด้วยคำว่า ผู้ก่อการร้าย หยุด สั่งให้ทหารตามฆ่าประชาชนต่อ หยุด ศอฉ. ยึดสื่อรัฐประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว ปกปิดไม่พูดความจริง จนคนไทยแทบจะอาเจียนกับข่าวที่มอมเมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม

ขณะ เดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องหยุด และยอมแพ้ได้แล้ว แกนนำเสื้อแดงและไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องหยุดเช่นกัน หยุดเผาเมือง หยุดลงใต้ดิน เพราะการตายจะมากขึ้น เพราะทหารจะลงไปเล่นใต้ดินด้วยเช่นกัน

ฝ่ายกอง ทัพก็ต้องหยุดบูรพา ยัคฆ์ครองอำนาจ แบ่งปันอำนาจให้ทหารวงศ์เทวัญ และทหารไร้สี เยียวยาทหารแตงโม ตามความสามารถและความชอบธรรม เพื่อถอดสลักระเบิดเวลาที่จะทำให้กองทัพแตก ต่อให้เกลียดคนเสื้อแดงเข้าไส้ เพราะพวกเขารักทักษิณ ศัตรูตัวฉกาจ

แต่รู้ หรือไม่ว่าศาสตร์เหนือ ศาสตร์ กลยุทธ์เหนือชั้นคือ ทำศัตรูให้เป็นมิตร อาจจะแสร้งรักและทำดีกับพวกเขาเพื่อซื้อใจ การเสแสร้ง เป็นเรื่องถนัดของนักการเมืองอยู่แล้ว อะไรๆ ก็อาจดีขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นทุกข์ของผู้นำประเทศด้วย ที่ต้องรีบเยียวยาแก้ไขให้ประชาชน หากยังยืนอยู่บนเส้นชัย ก็จะไม่มีวันมองเห็นและแก้ปัญหาได้ 

ไหนบอก ว่า ประชาชนต้องมาก่อน แต่นี่ "ประชาชนต้องตายก่อน"